ส่วนที่ 4
อำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว
1.
อำนาจผู้พิพากษา คนเดียวทุกชั้นศาล มาตรา 24
2.
อำนาจผู้พิพากษา คนเดียวศาลชั้นต้น มาตรา 25
3.
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจ มาตรา 25(3),(4),(5)
4.
ผู้พิพากษาประจำศาล
และผู้พิพากษาอวุโสผู้ทำการแทนไม่ได้
1.
อำนาจผู้พิพากษา คนเดียวทุกชั้นศาล
มาตรา 24 ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษาตำแหน่งใดก็ทำได้
(1)
ออกหมายเรียก หมายอาญา
หมายสั่งให้คนมาหรือไปยังจังหวัดอื่น
a.
หมายอาญา – มาตรา 2(9)
ป.วิ.อาญา – หนังสือบงการ สั่งเจ้าหน้าที่ จับ/ขัง/จำคุก/ปล่อย/ค้น
ผู้ต้องหาหรือนักโทษ อีกทั้งการทำสำเนาหมายจำคุก
หรือคำค้นได้รับรองและบอกกล่าวทางโทรเลข / ทางโทรสาร /
สื่ออิเล็กทรอนอกส์/สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น
***ไม่มีเรื่องอัตราโทษ***
b.
ออกคำสั่งใดๆ
ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี **ไม่ต้องดูทุนทรัพย์**
ป.วิแพ่ง
·
ไม่รับคำฟ้อง / คืนคำคู่ความ / ไม่รับอุทธรณ์เพราะเกินอายุอุทธรณ์
·
โอนคดี
·
งดสืบพยาน
·
รวมพิจารณา
·
ออกคำสั่งเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล /
ห้ามคู่ความก่อความรำคาญหรือมรทางประวิงให้ชักช้ามนทางฟุ่มเฟือยเกินสมควร
·
ลงโทษบุคคลฐานละเมิดอำนาจศาล
·
คำสั่งขับไล่คู่ความที่ประพฤติไม่เหมาะสมในบริเวณศาล
·
คำสั่งห้ามประชาชนเข้าฟังการพิจารณา
·
คำสั่งห้ามโฆษณาข้อเท็จจริง
·
คำสั่งเลือนการนั่งพิจารณาคดีเพื่อรอผลวินิจฉัย
·
ตรวจคำร้องขัดทรัพย์ –
มีคำสั่งว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง
·
คำสั่งให้รับเงินของผู้ร้องและถอนการยึด
ป.วิ.ญา
·
งดไต่สวนมูลฟ้อง / พิจารณาจนกว่าผู้ต้องหา /
จำเลยหายวิกลจริตและสามารถต่อสู้คดีได้
·
แยกคดีแพ่งออกจากคดีอาญา
·
เรียกพยานหลักฐานในกรณีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
·
คำสั่งโจทก์แก้ห้องให้ถูกต้อง
หรือไม่ประทับรับฟ้อง ศาลตรวจเห็แล้วไม่ถูกต้อง หรือยื่นผิดศาล
·
คำสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ
·
วินิจฉัยชี้ขาดคดีชั้น ขอคืนของกลางในทางคดีอาญาโทษไม่เกินมาตรา
25(5) มิใช่ มาตรา 25(5)แต่ต้องมีองค์คณะครบมาตรา 26
2.
อำนาจผู้พิพากษา คนเดียวศาลชั้นต้น มาตรา 25
(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง
หรือคำขอที่ยืนต่อศาลในคดีทั้งปวง
>> การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องไม่เหมือน มาตรา 24(2) – กระบวนการพิจารณาที่ศาลสั่งโดยคู่ความมิได้มีคำร้อง
*การออกคำสั่งเพื่อคำร้องหรือคำขอขึ้นมานั้น
หากต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง เช่น
·
ดำเนินคดีคนอนาถา
·
ยื่นคำให้การ
·
พิจารณาคดีใหม่
·
คุ้มครองชั่วคราว
·
ขอพิจารณาคดีคนอนาถาใหม่
*** แม้จะไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดก็ตาม ก็เข้ามาตรา 25(1)***
(2) ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย
ป.อ. มาตรา 39 มี 5 อย่าง – กักกัน / ห้ามเข้าเขตกำหนด /
เรียกประกันทัณฑ์บน / คุมตัวในสถานพยาบาล / ห้ามประกอบวิชาชีพบางอย่าง
o
และมีคำสั่งไม่น้อยกว่า 3 ปีได้ตาม ป.อ.มาตรา 41
o
ศาลเคยพิพากษาให้กักกันมาแล้วหรือโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า
6 เดือน ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ศาลจะถือว่าผู้นั้นกระทำผิดเป็นนิสัยจะพิพากษามากกว่า
3 ปี ไม่เกิน 10 ปีก็ได้ ยกเว้น
เด็กอายุน้อยกว่า 17 ปี
o
ขยาย > ผู้ถูกกักกันกระทำความผิดตามที่ได้ระบุไว้นั้นไม่ต่ำกว่า
6 เดือน > เงื่อนไข มาตรา 41 ป.อ. แต่ มาตรา 25(5)
ไม่ให้อำนาจผ้พิพากษาคนเดียวลงโทษเกิน 6 เดือน แต่มิใช่การลงโทษแต่เป็นการกักกัน
เพื่อความปลอดภัยจึงทำได้ แต่การลงโทษนั้นต้องตามมาตรา 31(2)+29(3) กล่าวคือ
หากลงโทษตามมาตรา 41 อธิบดีผู้พิพากษาชั้นต้น / รองฯ /
ผู้พิพากษาหัวหน้าคนเดียวลงโทษ เว้นแต่ตรวจสำนวนต้องลงลายมือชื่อครบองค์คณะโดยมิได้ปรากฏมาตรา
31 (2) ประกอบ มาตรา 29(3) จะมิชอบตาม 25(5) และการกักกันมิชอบด้วย
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
> คดีมีมูลคำสั่งประทับรับฟ้องหากเห็นว่าควรยกฟ้อง และโทษเกิน มาตรา
25(5) ผู้พิพากษาคนเดียวทำมิได้ > มิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(1)
เกิดระหว่างกระทำคำพิพากษา แก้โดยมาตรา 29(3)
o
มาตรา 25 วรรคสอง “จำกัดอำนาจ” –
ผู้พิพากษาประจำศาล มาตรา 25(3),(4),(5) ไม่มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้อง
และออกคำสั่งในคดีอาญา แต่ผู้พิพากษาอาวุโสไม่ได้ถูกจำกัดในมาตรา 25(3)
(4) พิจารณาคดีแพ่งมีทุนทรัพย์
ไม่เกิน 3แสนบาท หากไม่มีทุนทรัพย์
หรือมีทุนทรัพย์เกินกว่า 3 แสนบาท จะไม่เข้ามาตรา 17+24(4) แม้จะมีทุนทรัพย์มรดกเล็กน้อยไม่เกิน
3 แสนบาท ยื่นต่อศาลจังหวัด มาตรา 18 ยื่นศาลแขวงไม่ได้
– คดีไม่มีทุนทรัพย์
เช่น แต่งตั้งผู้จัดการ, การฟ้องขับไล่ แม้มีการเรียกค่าเสียหาย
เว้นแต่จำเลยจะต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์, เพิกถอนรายการประชุมบริษัท,
เลิกห้างหุ่นส่วนนิติบุคคล(ไม่ต้องชี้ขาดกรรมสิทธิ์
หรือทรัพย์สินอยู่ในกิจการหุ้นส่วนนั้นเท่าใด),
เพิกถอนกรรมสิทธิ์จาดกลฉ้อฉลของเจ้าหนี้,ห้ามจำเลยขัดขวางจะใช้สิทธิปักเสาพาดสายไฟเข้าบ้านโจทก์,
ห้ามจำเลยเคาะพ้นสีรถยนต์เสียงดัง, ฟ้องเรียกโฉนดที่ดิน
ผลไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนแปลง, สิทธิโจทก์ได้รับบำนาญ,
ส่งเช็คคืนอ้างไม่มีมูลหนี้, โต้เถียงว่าชำระหนี้ตามเช็คแล้ว
– ผลคำพิพากษา
หรือ คำสั่งเพิกถอนโจทก์ได้รับ หรือ สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดกลับคืนเป็นของโจทก์ –
ย่อมเป็นคดีมีทุนทรัพย์
– หากคดีมีทุนทรัพย์
และคดีไม่มีทุนทรัพย์ปนกันมา
o
1). แยกออกจากกันเป็นเอกเทศต่างหาก -> แยกพิจารณา
o
2). คำขอต่อเนื่องกัน -> ดูคำขอประธานเป็นหลัก
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาท
1. ดอกเบี้ย –
นับแต่วันที่ผิดนัด ถึง วันฟ้อง ; ให้รวมเป็นทุนทรัพย์พิพาท
- วันฟ้อง ถึง วันชำระ ; ดอกเบี้ย
ไม่รวมเป็นทุนทรัพย์
2. กรณีที่ยังมีข้อสงสัยโต้แย้งเรื่องทุนทรัพย์
ให้ศาลประมาณตามในเวลายื่นคดี
3. โจทก์หลายคนใช้สิทธิเฉพาะตัวเป็นโจทก์ร่วมฟ้องมาในคดีเดียวกัน
ให้คำนวณทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกกัน
4. โจทก์คนเดียวฟ้องจำเลยหลายคน
a.
ร่วมกันรับผิด – คินทุนทรัพย์รวม
b.
แยกกันรับผิด เพราะมิใช่ลูกหนี้ร่วม
5. โจทก์หลายคน –
เป็นเจ้าหนี้ร่วม
6. โจทก์คนเดียวฟ้องให้รับผิดตามสัญญาหลายคน
> กู้ / เช็ค : รวม แชร์
/ ค้ำ : แยก
7. จำเลยฟ้องแย้ง
– คิดทุนทรัพย์แยกฟ้องเดิม ดังนั้น ฟ้องเดิมอยู่ศาลแขวง
ฟ้องแย้งก็ต้องอยู่ศาลแขวงด้วย หรือต้องทำคำขอต่อเนื่องกับคำฟ้องเดิม
เพราะถ้าฟ้องเกินศาลแขวงอันเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิมก็ไม่อาจโต้แย้งโจทก์ต่อศาลแขวงได้
ต้องนำคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
8. ฟ้องขัดทรัพย์
– คำร้องเกี่ยวกับการบังคับคดีในชั้นต้น คือ คดีแพ่งตัดสินชี้ขาดโดยศาลแขวง
ผู้ร้องก็ต้องยื่นต่อศาลแขวง แม้จะมีทุนทรัพย์สูงก็ตาม
แต่ราคาทรัพย์ที่ร้องขอให้ปล่อยเกินกว่า 3 แสน
ผู้พิพากษาคนเดียวย่อมไม่มีอำนาจระบบองค์คณะเป็นไปตามมาตรา 26
9. การร้องสอด –
แยกจากคดีเดิม จะมีทุนทรัพย์หรือไม่ก็ตาม
10.
พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สิน หรือ
ราคาแทนผู้เสียห่าย ตาม ป.วิ.อ มาตรา 43-44 : คำพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินเป็นส่วนหนึ่งคำพิพากษาคดีอาญา
ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว แม้ทุนทรัพย์ส่วนแพ่งจะเกินกว่า 3
แสนบาทก็ตาม
11.
ผู้เสียหายยื่นคำร้องบังคับใช้ค่าสินไหมทดแทน
ป.วิ.อ. มาตรา 44/1
a.
หากเข้ามาตรา 43 – ลงโทษ 9
สถานแล้วจะเรียกซ่ำไม่ได้อีกตาม มาตรา 44/1 ว.3
b.
มิใช่ตามข้อ a. อัยการเรียกตาม
มาตรา 44/1ได้
(5) พิจารณาคดีอาญาไม่เกิน
3 ปีหรือไม่เกิน 6หมื่อนบาท
1. ถ้าความผิดหลายกระทง
พิจารณาโทษอย่างสูงตามกฎหมายแต่ละกระทง
2. จาก 1.
แต่ละกระทงไม่เกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียว และการลดโทษ หรือ การเพิ่มโทษในเหตุต่างๆ
“โทษสุทธิ” ไม่เกินก็ย่อมได้
3. หากคดีมีอัตราโทษในศาลแขวง
และผู้พิพากษาคนเดียว
แม้พิจารณาความผิดเกินอำนาจศาลแขวงก็เป็นเรื่องนอกความประสงค์ของโจทก์
4. ในทางตรงกันข้ามข้อ3.
คดีอยู่ในศาลจังหวัดเบาบาง ก็ไม่ทำให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอำนาจการลงโทษในศาลจังหวัดได้
5. การบวกโทษที่รอไว้นั้น
โทษสุทธิไม่เกินกว่า 6 เดือน อยู่ในอำนาจผู้พิพากษาคนเดียว
แต่การกำหนดบวกโทษที่รอนั้น ผู้พิพากษาคนเดียวก็ทำได้
แต่โทษที่บวกนั้นต้องไม่เกินอำนาจของตน หากเกิน มาตรา 32(2)+29(3) เข้ามาบังคับ
6. การกักกันไม่ใช่โทษ
แต่เป็นวิธีเพื่อความปลอดภัย
7. คำสั่งผนวกโทษ
มิใช่ตาม ป.อ. มาตรา 18 ผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจ